วันพฤหัสบดีที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2556

เลือด





เลือด




รูปภาพ เลือดบริเวณนิ้วมือ


             เลือด (blood) เป็นของเหลวชนิดหนึ่งในร่างกาย ประกอบด้วย น้ำเลือด เกล็ดเลือด เซลล์เม็ดเลือดแดง เซลล์เม็ดเลือดขาว ร่างกายเรามีเลือดอยู่ประมาณ 5 ลิตรหรือคิดเทียบกับน้ำหนักตัวเท่ากับร้อยละ 7-8 ของน้ำหนักตัว

 ส่วนประกอบของเลือด

          มื่อนำเลือดไปปั่นเหวี่ยงเพื่อทำการแยกชั้น จะพบส่วนประกอบของเลือดต่างๆดังนี้
  • น้ำเลือด (พลาสมา)
น้ำเลือด หรือ พลาสมา เป็นส่วนประกอบส่วนใหญ่มีอยู่ร้อยละ 55 ของเลือดทั้งหมดมีสภาวะเป็นเบส ค่าph 7.4 ประกอบด้วย น้ำ 91% สารอื่นๆ เช่น โปรตีน 7% วิตามิน เกลือแร่ เอ็นไซม์ ฮอร์โมน ก๊าซ 2% (ทำหน้าที่ลำเลียงเอมไซม์ ฮอร์โมน แก๊ส แร่ธาตุ วิตามิน และสารอาหารประเภทต่างๆ ที่ผ่านการย่อยมาแล้วไปให้เซลล์และรับของเสียจากเซลล์ส่งไปกำจัดออกนอกร่างกาย)
  • เม็ดเลือด
          เม็ดเลือดแดง (มีอายุ110-120วัน) ถูกสร้างมาจากไขกระดูก ตับ ม้าม
เม็ดเลือดขาว (มีอายุ 7-14วัน) โตกว่าเม็ดเลือดแดง มีหน้าที่ทำลายเชื้อโรค เม็ดเลือดขาวโดนทำลายโดย เชื้อโรค 80% ไขกระดูก และ ม้าม ร่างกายคนมีเม็ดเลือดขาว 5000-10000เซลล์/เลือด 1ml แบ่งเป็น 2 ชนิด ได้แก่
1.ฟาโกไซต์ (phagocyte) มีวิธีการทำลายเชื้อโรคเรียกว่า "ฟาโกไซโตซีส" (Phagocytosis)
2.ลิมโฟไซต์ (lymphocyte) สร้าง "แอนติบอดี้" (Antibody) เพื่อต่อต้านเชื้อโรค
  • เกล็ดเลือด
เกล็ดเลือด ไม่ใช่เชลล์ แต่เป้นชิ้นส่วนของเซลล์ รูปร่างไม่แน่นอน มีขนาดเล็ก ไม่มีนิวเคลียส มีอายุประมาณ3-4 วัน ถูกสร้างมาจากไขกระดูก มีปริมาณประมาณ 150,000-300,000 ชิ้น/เลือด 1 ลูกบาสก์เซนติเมตร นอกจากนี้เกล็ดเลือดจะหลั่งสารเคมี (ไฟบริน) ช่วยให้เลือดแข็งตัวเมื่อเกิดบาดแผล


  ชนิดของเลือดและส่วนประกอบของเลือด

         1.    Whole Blood เลือดครบอายุไม่เกิน 21 วัน
         2.    Fresh Whole Blood คือเลือดครบที่มีอายุไม่เกิน 24 ชั่วโมง
         3.    Pack Red Cell (PRC) เฉพาะส่วนของเม็ดเลือดแดงโดยแยกเอาส่วน Plasma ออกประมาณ80%
         4.   White Blood Cell (Leukocytes) สำหรับผู้ป่วยที่มีเม็ดเลือดขาวต่ำ
         5.    Platelets  เป็นส่วนประกอบของเลือดเฉพาะส่วนของ Platelet concentrate
         6.   Fresh Frozen Plasma (FFP) เป็นส่วนประกอบของเลือดที่มีเฉพาะส่วนของ Plasma ที่ปั่นแยก มาจาก Fresh Whole
        7.   Cryoprecipitate เป็นส่วนประกอบของเลือด ที่มี Factor VIII 80-120 หน่วย Fibrinogen 250- 300 mg นอกจากนั้น ยังมี Factor XIII      

                 เลือดเป็นของเหลวที่สำคัญของชีวิต    ประกอบด้วยน้ำเลือด เกล็ดเลือด เซลล์เม็ดเลือดแดง  เซลล์เม็ดเลือดขาว  ในผู้ใหญ่จะมีเลือดอยู่ประมาณ  5.5 ลิตร ไหลเวียนอยู่ในระบบหมุนเวียนเลือด   ซึ่งเป็นระบบที่ประกอบด้วยเส้นเลือดจำนวนมาก  เลือดช่วยกระจ่ายความร้อนและนำสารที่สำคญซึ่งอยู่ในนํ้าเลือดไปทั่วร่างกาย เซลล์เม็ดเลือดเมื่อแก่จะตายและจะถูกแทนที่ด้วยเซลล์เม็ดเลือดที่สร้างขึ้นมาใหม่ กระบวนการนี้เรียกว่า  ฮีโมพอยซิส

 Blood  constituents    

                   1.Plasma: นํ้าเลือด  เป็นของเหลวสีซีดๆ ( มีนํ้าอยู่ประมาณ90%) ซึ่งมีเซลล์เม็ดเลือดลอยอยู่ในนํ้าเลือด  จะมีสารอาหารละลายอยู่เพื่อส่งไปให้เซลล์ต่างๆของร่างกาย  นอกจากนี้ยังมีแอนติบอดี   ซึ่งเป็นสารที่ต้านทานเชื้อโรค  มีเอนไซม์  และฮอร์โมน  ซึ่งเป็นสารที่ช่วยควบคลุมกระบวนการต่างๆของร่างกายให้เป็นปกติ
                             
                 2.Red  blood  cells: เซลล์เม็ดเลือดแดง  มีรูปร่างเป็นแผ่นแบนเหมือนจาน   ไม่มีนิวเคลียส     สร้างจากไขกระดูก  มีสารฮีโมโกลบิน  เซลล์เม็ดเลือดแดงจะรวมกับออกวิเจนในปอดเป็นออกซีฮีโมโกลบิน  ทำให้เลือดมีสีแดงสด  เซลล์เม็ดเลือดแดงจะนำออกซิเจนไปให้  เซลล์ทั่วร่างกายจะกลับเข้าสู่ปอดด้อยเลือดที่มีฮีโมโกลบิน
                         
                  3. Platelets: เกล็ดเลือด  มีขนาดเล็กมากมีรูปร่างเป็นแผ่นเบน ไม่มีนิวเคลียส  สร้างจากไขกระดูก  บริเวณที่มีบาดแผลจะมีเกล็ดเลือดจำนวนมาก เพื่อทำหน้าที่สำคัญเกี่ยวกับการแข็งตัวของเม็ดเลือด
    
                 4. White  blood cells:  เซลล์เม็ดเลือดขาว  เป็นเซลล์เม็ดเลือดที่มีขนาดใหญ่  ทำหน้าที่สำคัญในการป้องกันเชื้อโรคให้กับร่างกายมีหลายชนิดเช่น ลิมโฟไซต์ สร้างจากเนื้อเยื่อน้ำเหลือง  พบในระบบน้ำเหลือง  เซลล์เม็ดเลือดขาวนี้ทำหน้าที่สร้างแอนติบอดี     เซลล์เม็ดเลือดขาวอีกชนิดได้แก่  โมโนไซต์สร้างจากไขกระดูก   เซลล์เม็ดเลือดขาวชนิดนี้จะจับสิ่งแปลกปลอมที่เข้าสู่ร่างกายเซลล์เม็ดเลือดขาวชนิดที่มีขนาดใหญ่ขึ้นเรียกว่า  แมกโครฟาค

     Body  defence  การป้องกันเชื้อโรคของร่างกาย

               1.Antigens:  แอนติเจน   ส่วนใหญ่เป็นสารโปรตีนที่เป้นตัวกระตุ้นหรือ  เป็นสาเหตุให้ร่างกายสร้างแอนติบอดีมาต่อต้านแอนติเจนโดยอาจเป็นแบคทีเรียหรือไวรัส  หรืออาจเป็นสารพิษที่ได้จากแบคทีเรียหรือไวรัสก็ได้  แอนติเจนปกติที่พบใน  ร่างกายตั่งแต่เกิด  คือ  แอนติเจนที่เป้นตัวบ่งชี้หมู่เลือดต่างๆ
                     
               2.Antibodies: แอนติบอดี   เป็นสารโปรตีนอยู่ในส่วนที่เป็นของเหลวของร่างกาย สร้างจากเม็ดเลืือดขาวชนิด ลิมโฟไซต์  เมื่อมีแอนติเจนเข้าสู้ร่างกายแอนติบอดี้ชนิดต่างๆ จะมาจับแอนติเจนอย่างเฉพาะเจาะจงเป็นชนิดๆไปซึ่งจะมีปฏิกิริยาแตกต่างกันจะปล่อยสารที่เป็นพิษต่อต้านแอนติเจน โดยแอนติบอดีจะจับกับโมเลกุลของสารพิษ  ที่แอนติเจนปล่อยออกมากลายเป็นสารประกอบเชิงซ้อน ของ แอนติเจนกับแอนติบอดีที่เรียกว่าสารประกอบแอนติเจนแอนติบอดี  แอนติบอดีชนิดแอกกลูตินินจะจับแบคทีเรีย  หรือเชื้อไวรัสซึ่งเป็นแอนติเจนแอนติบอดีอีกชนิดหนึ่ง ชื่อว่า ไลซินจะฆ่าแอนติเจนหรือเชื้อโรคโดยการสลายเยื้อหุ้มเซลล์ชั้นนอกให้เปลี่ยนเป็นสารที่เรียกว่าไฟบรินซึ่งเป็นเส้นใยสานเป็นร่างแหเป้นลิ่มคล้ายก้อนวุ้น

                  3. Clotting  or  coagulation : การแข็งตัวของเลือด เลือดที่ข้นขึ้น เพื้อที่จะจับตัวเป็นก้อน  หรือแข็งตัวบริเวณบาดแผลนั้น  เกิดจากชิ้นส่วนที่แตกของ เกล็ดเลือดและเซลล์ที่ฉีกขาดจะปล่อยสารเคมีที่เรียกว่า  ทรอมโบพลาสตินซึ่งสารนี้จะไปกระตุ้นให้โปรทรอมบิน (โปรตีนในนํ้าเลือด) กลายเป็นทรอมบิน(เป็นเอนไซม์)จากนั้นทรอมบินจะไปกระตุ้นไฟบริโนเจน  (เป็นโปรตีนอีกชนิดหนึ่งในนํ้าเลือด) ให้เปลี่ยนเปผ้นสารที่เรียกว่า  ไฟบริน  ซึ่งเป็นเส้นใยสานเป็นร่างแหเป็นลิ่มคล้ายก้อนวุ้น

                4.Serum: เซรัม  เป็นของเหลวสีเหลืองประกอบด้วยชิ้นส่วนของเลือดที่ ออกมาหลังจากการแข็งตัว  มีสารแอนติบอดีหลายชนิด ถ้าฉีดเซรัมให้กับคนทั่วๆไปสารนี้สามารถที่จะเป็นภูมิคุ้มกันชั่วคราวในการต่อต้านการติดเชื้อต่างๆได้




ที่มา  http://www.obec.go.th/news/_develop_media/news12/bangkok/17/sec04p01.html
         http://www.student.chula.ac.th/~52370169/new_page_1.htm

สืบค้น ณ วันที่ 01/02/2556

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น